สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com

ต้นทุนขาย FIFO VS LIFO VS Weight Average

ต้นทุนขาย FIFO VS LIFO VS Weight Average

ต้นทุนขาย FIFO VS. LIFO VS. Weight Average

                หลายๆคนคงคุ้นหูคุ้นตากันดีกับคำว่า “FIFO หรือ First in First Out (เข้าก่อน – ออกก่อน)” “LIFO หรือ Last In First Out (เข้าหลังออกก่อน) และ “Weight Average หรือ (ถัวเฉลี่ยน้ำหนัก)”  ซึ่งวิธีทั้งสามนั้นโดยทั่วไปเรามักหมายถึงวิธีการคิดต้นทุนขาย ซึ่งวิธีทั้ง FIFO ,LIFO ,W.A นั้นเป็นหนึ่งในวิชาการเงินและการบัญชี จะทำให้กิจการมีการรับรู้ต้นทุนขายระหว่างงวด สินค้าคงเหลือ กำไรสุทธิและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแตกต่างกัน ฉะนั้นกิจการต่างๆจะใช้วิธีการคิดต้นทุนขายวิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับลักษณะโครงสร้างการทำธุรกิจ และสินค้าที่มีไว้เพื่อค้า

ตัวอย่างวิธีการคิดต้นทุนขาย

สินค้าคงเหลือปลายปี 25x1                                500 หน่วย ต้นทุนยกมา หน่วยละ 190 บาท

ซื้อเพิ่ม ณ เดือนมีนาคม 25x2                             100 หน่วย ในราคาหน่วยละ 200 บาท

ซื้อเพิ่ม ณ เดือนมิถุนายน 25x2                           200 หน่วย ในราคาหน่วยละ 220 บาท

ซื้อเพิ่ม ณ เดือนพฤศจิกายน 25x2                       150 หน่วย ในราคาหน่วยละ 240 บาท

สิ้นปี ณ 31 ธันวาคม 25x2  ตรวจนับสินค้าคงเหลือได้  200 หน่วย

ดังนั้นวิธีคิดคิดต้นทุนรวมทั้งหมดมีดังนี้

วันที่

รายการ

ราคา

จำนวนหน่วย

ยอดรวม

ปลายปี 25x1                

สินค้าคงเหลือยกมา

190

500

95,000

มีนาคม 25x2

ซื้อเพิ่ม

200

100

20,000

มิถุนายน 25x2

ซื้อเพิ่ม

220

200

44,000

พฤศจิกายน 25x2

ซื้อเพิ่ม

240

150

36,000

 

รวม

950

195,000

 

ดังนั้นเราสามารถหาจำนวนสินค้าที่ขายไปได้ดังนี้

(จำนวน)สินค้าคงเหลือต้นงวด + ซื้อเพิ่มระหว่างงวด – สินค้าคงเหลือปลายงวด        = สินค้าขายระหว่างงวด

500 + 450 – 200                  = 750 หน่วย

 

 

 

วิธีต้นทุนขาย FIFO (เข้าก่อน – ออกก่อน)

รายการ

ราคา

จำนวนหน่วย

ยอดรวม

ยอดยกมา

190

500

36,000

มีนาคม 25x2

200

100

20,000

มิถุนายน 25x2

220

150

33,000

 

รวม

750

148,000

 

วิธีต้นทุนขาย LIFO (เข้าหลัง – ออกก่อน)

รายการ

ราคา

จำนวนหน่วย

ยอดรวม

พฤศจิกายน 25x2

240

150

36,000

มิถุนายน 25x2

220

200

44,000

มีนาคม 25x2

200

100

20,000

ยอดยกมา

190

300

57,000

 

รวม

750

157,000

 

วิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยน้ำหนัก Weight Average

วันที่

รายการ

ราคา

จำนวนหน่วย

ยอดรวม

ปลายปี 25x1                

สินค้าคงเหลือยกมา

190

500

95,000

มีนาคม 25x2

ซื้อเพิ่ม

200

100

20,000

มิถุนายน 25x2

ซื้อเพิ่ม

220

200

44,000

พฤศจิกายน 25x2

ซื้อเพิ่ม

240

150

36,000

 

รวม

950

195,000

 

ฉะนั้นต้นทุนต่อหน่วยคือ 195,000 / 950  = 205.26 บาท

ดังนั้นต้นทุนรวมกรณีขาย 750 หน่วย  = 205.26 x 750 = 153,954 บาท

 

                เราจะเห็นว่าวิธีการคิดต้นทุนขายแบบ FIFO จะมีต้นทุนที่ต่ำสุด ,Weight Average จะอยู่ต้นทุนอยู่ระหว่างวิธี FIFO และ LIFO  และวิธี LIFO จะมีราคาต้นทุนที่สูงที่สุด  จึงเกิดคำถามว่า “เมื่อไหร่ หรือเพราะอะไร เราจะใช้วิธีคิดต้นทุนแบบไหนดี”

 เหตุผลมีดังนี้ครับ  วิธีต้นทุนขายแบบ FIFO หรือ เข้าก่อน – ออกก่อน จะนิยมใช้กับสินค้าทั่วไปและสินค้าที่มีวันหมดอายุ อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เพราะเราจะนิยมนำของเก่าออกขายก่อน เพื่อป้องกันสินค้าหมดอายุหรือเน่าเสีย การคิดต้นทุนที่เหมาะสมจึงใช้แบบ FIFO

วิธีต้นทุนขายแบบ LIFO หรือ เข้าหลัง – ออกก่อน  จะนิยมใช้กับสินค้าที่มี Life Cycle Time ที่สั้น หรือสินค้าเทคโนโลยีที่มีโอกาสล้าสมัยได้เร็ว เช่นคอมพิวเตอร์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือสินค้าที่มีการซื้อขายในราคาตลาดเป็นหลัก และต้นทุนนั้นๆจะต้องปรับให้เป็นปัจจุบันเสมอ สินค้าที่เป็นอสังหาริมทรัพย์เป็นต้น 

วิธีต้นทุนขายแบบถัวเฉลี่ยน้ำหนัก (Weight Average) จะใช้ในสินค้าที่มีราคาซื้อขายขึ้นๆลงๆไม่ห่างกันมาก สินค้ามีความคงทนไม่เน่าเสีย สินค้าที่มีการซื้อเป็นปริมาณมากๆ แต่ไม่ใช่สินค้าเทคโนโลยีเหมือนกับสินค้าที่ใช้วิธี LIFO

 

สมมติจากตัวอย่างเดิม  บริษัทขายสินค้าหน่วยละ 300 บาท สมมติให้ไม่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ และอัตราภาษีที่ 30%    รายการแสดงต้นทุนกำไรที่เกิดขึ้นเป็นดังนี้

วิธีต้นทุนขาย

ยอดขาย

ต้นทุนขาย

กำไรขั้นต้น

สินค้าคงเหลือ

กระแสเงินสดจ่ายภาษี

FIFO

(เข้าก่อน – ออกก่อน)

225,000

148,000

77,000

(195,000-148,000)

= 47,000

77,000(0.3)

= 23,100

Weight Average

(ถัวเฉลี่ยน้ำหนัก)

225,000

153,954

71,046

(195,000-153,954)

= 41,046

71,046(0.3)

= 21,313.8

LIFO

(เข้าหลัง – ออกก่อน)

225,000

157,000

68,000

(195,000-157,000)

= 38,000

68,000(0.3)

= 20,400

 

วิธีต้นทุนขาย

ต้นทุนขาย

กำไรขั้นต้น

สินค้าคงเหลือ

กระแสเงินสดจ่ายภาษี

กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน

FIFO

(เข้าก่อน – ออกก่อน)

ต่ำสุด

สูงสุด

สูงสุด

สูงสุด

ต่ำสุด

Weight Average

(ถัวเฉลี่ยน้ำหนัก)

อยู่ระหว่าง

FIFO และ LIFO

อยู่ระหว่าง

FIFO และ LIFO

อยู่ระหว่าง

FIFO และ LIFO

อยู่ระหว่าง

FIFO และ LIFO

อยู่ระหว่าง

FIFO และ LIFO

LIFO

(เข้าหลัง – ออกก่อน)

สูงสุด

ต่ำสุด

ต่ำสุด

ต่ำสุด

สูงสุด

 

                จากวิธีการคิดต้นทุนขายทั้ง 3 วิธีนั้น ชี้ให้เห็นได้ว่ากิจการสามารถเลือกวิธีการรับรู้ต้นทุนและผลกำไรจากการดำเนินงานได้แตกต่างกัน โดยเฉพาะวิธีการคิดต้นทุนขายยังมีผลกระทบต่อจำนวนกระแสเงินสดที่ต้องจ่ายภาษีอีกด้วย ซึ่งผู้บริหารจะใช้ความรู้เหล่านี้ วางแผนในการรับรู้ค่าใช้จ่ายและวางแผนการจ่ายภาษีได้อีกทางด้วย

                นอกจากวิธีการคิดต้นทุนแบบ FIFO ,LIFO ,Weight Average ยังมีวิธีการคิดต้นทุนแบบอื่นอีกเช่น แบบเฉพาะเจาะจง (Special list) เป็นการคิดต้นทุนโดยระบุไปในตัวสินค้าชิ้นนั้นๆว่ามีต้นทุนเท่าไหร่ ซึ่งจะใช้กับสินค้าที่มีราคาแพงมากๆ หรืองานสั่งทำ (Job Order) เป็นต้น เช่นต้นทุนของรถยนต์คันหนึ่งมีราคา 300,000 บาทเป็นต้น เมื่อมีรายการขาย กิจการจะคิดต้นทุนขายโดยระบุสินค้าชิ้นนั้นๆลงไปเลย   และยังมีวิธีคิดต้นทุนตามผลของงานที่ทำเสร็จ เช่นโครงการก่อสร้าง จะรับรู้ต้นทุนตามการประเมินและผลของการทำงานที่แล้วเสร็จ เช่นงานก่อสร้างกำหนด 10 ปี ทำไปแล้วเสร็จ 2 ปี 20%เป็นต้น  ต้นทุนก็จะคิดที่ 20%ของต้นทุนที่ประเมินไว้ทั้งหมด หรือที่เกิดขึ้นจริงจามสัดส่วน

ฉะนั้นการคิดต้นทุนขายให้เหมาะสมกับธุรกิจของตนเอง นอกจากช่วยให้ง่ายต่อการคิดต้นทุนและสะดวกในการดำเนินงาน แล้วยังช่วยให้เราประเมินถึงต้นทุนที่เหมาะสมกับความเป็นจริงและช่วยให้วางแผนในการจัดตั้งงบประมาณการขาย และควบคุมค่าใช้จ่ายได้เช่นกันครับ >>>

By Challenge Me Tutor

Tags : FIFO LIFO Weight Average เข้าก่อน-ออกก่อน เข้าหลังขออกก่อน ถัวเฉลี่ยนน้ำหนัก ต้นทุน Accounting finance ติวsingle license ติวการเงิน ติวบัญชี การเงิน ต้นทุนขาย วิธีคำนวณต้นทุนขาย cost of good sold inventory สินค้าคงเหลือ 

view