สวัสดีครับ วันนี้เราจะมาคุยกันเกี่ยวกับคำพูดของนักลงทุนในยุคปัจจุบันที่มักจะมีคำพูดคำนึงติดปากกัน นั้นก็คำว่า VI หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของคำว่า Value Investment หรือนักลงทุนที่เน้นคุณค่า
VI หรือ Value Investment คือการลงทุนที่เน้นคุณค่า เน้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยเน้นการลงทุนไปพร้อมๆกับการเติบโตของบริษัท และมักจะนิยมลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นคงและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ หรือบริษัทที่มีอนาคตที่ดี เป็นต้น ซึ่งต้นฉบับแนวความคิดนี้มาจากนักลงทุนเน้นคุณค่าชื่อดังระดับของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซึ่งได้ประสบผลสำเร็จจากการลงทุนในแนวความคิดนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งกูรูนักลงทุนระดับแนวหน้าของประเทศไทยที่หลายๆคนรู้จักเป็นอย่างดี นั้นก็คือ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นั้นเองครับ
หลายๆคนอาจงงว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาทั้ง 2 รวมไปถึงนักลงทุนตามแนวความคิด VI เหล่านี้ ประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้น ซึ่งจากการศึกษากลยุทธ์ของการลงทุนของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 2 พบว่า สิ่งที่เขาทั้ง 2 มีเหมือนกันคือ
1. ศึกษาข้อมูลในลึกซึ้ง แล้วจึงลงทุน
“เป็นไปไม่ได้เลยครับ ที่จะประสบผลสำเร็จจากการลงทุนบนความไม่รู้”
ซึ่งหลักการลงทุนแบบ Value Investment นั้น เราจะลงทุนในหุ้นเสมือนว่าเราร่วมทำธุรกิจเป็นของตนเอง เราต้องเรียนรู้ถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคของธุรกิจหุ้นที่เราลงทุน อะไรคือปัจจัยของความสำเร็จ อะไรคือนวัตกรรมของธุรกิจที่เราลงทุนอยู่ และทิศทางในอนาคตนั้นสดใสมากน้อยแค่ไหน
เมื่อเข้าใจทุกอย่าง เป็นอย่างดีแล้วจึงตัดสินใจที่จะลงทุนครับ
2. เป้าหมายต้องชัดเจน
การลงทุนลงก็เหมือนการดำเนินธุรกิจ เราต้องมีเป้าหมายของการลงทุนที่ชัดเจน เช่นต้องการลงทุนเพื่อหวังเงินปันผล(กรณีบริษัทที่ลงทุนมีความมั่นคงเป็นอย่างดีแล้ว) หรือต้องการกำไรจากการขายหุ้นในอนาคต (กรณีบริษัทที่ลงทุนเป็นบริษัทขนาดเล็กถึงกลาง แต่มีอนาคตและนวัตกรรมที่จะก่อเกิดการเติบโตของธุรกิจต่อไปได้อย่างมั่นคง) ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนเน้นคุณค่า (VI) มักจะมีพอร์ตการลงทุนในหุ้น 2 ลักษณะนี้เป็นส่วนใหญ่
3. ไม่ตามกระแส และต้องใช้เวลาในการลงทุน
การลงทุนตามกระแสหรือข่าวที่ทำให้หุ้นตัวใดๆนั้นมีความน่าสนใจในช่วงเวลาอันสั้นๆ นั้นจะไม่ใช่กลุ่มหุ้นเป้าหมายที่เหล่านักลงทุนเน้นคุณค่าสนใจครับ เพราะนักลงทุนเน้นคุณค่าหรือ Value Investment นั้นจะเน้นการลงทุนที่มุ่งหวังการเติบโตไปพร้อมกับบริษัท จะไม่นเน้นการซื้อขายเก็งกำไรระยะสั้น ซึ่งการเก็งกำไรระยะสั้นนั้นมีความเสี่ยงสูงกว่าและหากทำให้ได้กำไรหรือขาดทุนสูงกว่าการลงแบบเน้นคุณค่านั้นเอง “การลงทุนที่สำเร็จนั้น ต้องใช้เวลา… ไม่ใช้แค่ข้ามคืนไม่กี่วัน”
4. จงกลัวเมื่อคนอื่นกล้า และจงกล้าเมื่อคนอื่นกลัว
เมื่อใดก็ตามที่มีข่าวหรือปัจจัยทางมหภาคมากระทบกับความเชื่อมั่น หรือระบบเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งอาจนำมาซึ่งการขายหุ้นทิ้งแบบไร้เหตุผล (Panic Sell) เมื่อนั้นจะไม่มีคนไหนกล้าซื้อหุ้นดังกล่าว ซึ่งในมุมมองของนักลงทุนเน้นคุณค่า Value Investment จะมองเห็นโอกาสที่จะได้ซื้อหุ้นที่ดี ในราคาที่ถูกทันที
นอกจากกนี้บางสถานการณ์ที่อาจมีข่าวดีมากเกินไป จนส่งผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัทนั้นมีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งในบางเหตุการณ์ หุ้นตัวนั้นอาจจะขยัยตัวสูงขึ้นแบบไร้เหตุผลก็ได้ (กรณีที่มีมูลค่าซื้อขายเข้ามามาก และหลายๆคนพากันซื้อตาม หรือที่ชาวบ้านเรียกกว่าปั่นหุ้น) ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ นักเก็งกำไร จะเข้ามาทำการซื้อๆขายๆกันมาก ซึ่งหากนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเข้ามาซื้อในจังหวะดังกล่าว ก็จะสุ่มเสี่ยงที่จะได้ราคาหุ้นในราคาที่หุ้นเกินความเป็นจริง (Over price) ได้
ดังนั้น ควรมีสติ ก่อนทำการซื้อและขาย และต้องซื้อขายหุ้น เพราะเข้าใจสถานการณ์จริงๆ มิใช่แค่กระแสนำพาได้
5. ต้องมีความรักในสิ่งที่ทำ และทำจริง มีวินัย
การลงทุนนั้น ไม่ใช่ค่านิยม แต่มันหมายถึงการวางแผนชีวิตของเราได้เลยครับ ดังนั้นนักลงทุนที่ประสบผลสำเร็จนั้น นอกจากมีเป้าหมายที่ชัดเจน มีความรู้แล้ว มักจะต้องมีความรักการลงทุน ความใส่ใจติดตามข่าวสาร และลงทุนอย่างมีระเบีบบวินัยอย่างเคร่งครันครับ และที่สำคัญต้องทำเลย ไม่ผลักวันประกันพรุ่งครับ
แต่สมัยนี้ เราอาจเห็นนักลงทุนหลายๆแนว หรือแม้แต่บางคนที่ยึดหลักตามแนวการลงทุนแบบเน้นคุณค่า Value Investment นั้น มักจะไม่เป็นแบบที่กล่าวมาข้างต้น “นั้นเพราะอะไร?” เป็นความผิดของพวกเขาหรือไม่นั้น? บางทีก็ตอบได้ยากมากครับ เพราะคนทุกคนนั้นมีความเป็นปัจเจกบุคคล มีความสามารถในการรับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน และประสบการณ์การลงทุนที่แตกต่างกัน จึงไม่สามารถจะไปกำหนดตายตัวได้ว่า “คุณต้องเป็นนักลงทุนแบบนี้ หรือแบบนั้น”
ซึ่งสถานในตลาดหุ้นและตลาดโลกในปัจจุบัน มีความผันผวนค่อนข้างสูง นักลงทุนก็มีหลายกลุ่ม ซึ่งบางกลุ่มก็มีการลงทุนแบบไม่ถูกต้อง เช่นการสร้างราคา(ปั่นหุ้น) การปล่อยข่าวลือต่างๆ และแม้แต่การใช้ข้อมูลภายใน(Insider) ทำให้ผู้อื่นเสียเปรียบในการลงทุน ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ที่ใจไม่แข็งพอ หันมาเก็งกำไรในหุ้นนั้นๆระยะสั้นอยู่บ่อยๆได้ หรือบางคนก็มีกลยุทธ์ในการบริหารพอร์ตแบบสั้น+ยาว (เน้นเก็งกำไร+เน้นคุณค่า) ซึ่งบางทีพวกเขาเหล่านั้นก็จะมีการสัดเปลี่ยนสัดส่วนน้ำหนักไปตามสถานการณ์ เช่น (เน้นเก็งกำไร 20% +เน้นคุณค่า 80%) ก็อาจเปลี่ยนเป็น (เน้นเก็งกำไร 80% +เน้นคุณค่า 20%) ก็ได้ “ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าการลงทุนแบบนี้ไม่ดีนะครับ” ผมแค่อยากบอกว่าการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสถานการณ์เป็นสิ่งที่ดี แต่น่ากลัวตรงที่จาก Value Investment จะกลายเป็น Variety Investment คือตรงที่ จากการลงทุนเน้นโตไปพร้อมบริษัทดีๆ แต่ปรากฏว่ามีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระยะสั้นๆ บางคนอาจจะเทขายหุ้นนั้นทิ้งอย่างไรเหตุผลเพียงพอก็ได้ หรืออาจจะเผลอซื้อหุ้นนั้นๆในราคาที่สูงเกินความพอดี ในกรณีที่ไม่เข้าใจว่าหุ้นนั้นๆ มีการปั่นราคาก็เป็นได้ครับ ซึ่งนักลงทุนในปัจจุบันมักเป็นเหยื่อของผู้ที่ไม่ประสงค์ดีและเกิดความเสียหายกับเงินทุนของตน จากการเป็น Variety Investment ที่ไร้เหตุผลอยู่บ่อยๆครับ
บทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคลเท่านั้น ผู้อ่านควรใช้วิจารณาณในการอ่านบทความนี้ครับ ขอบคุณครับ
By
อาจารย์ฟิวส์
Challenge Me Tutor